หน่วยที่
2 ระบบรองรับน้ำหนัก
(Suspension System)
ระบบรองรับน้ำหนัก (Suspension Systems) หมายถึง ระบบการใช้สปริง โช้คอัพ และแกนต่อต่าง ๆ ที่ใช้เป็นตัวรองรับหรือคั่นกลางระหว่างโครงรถ (Frame) ตัวถัง (Body) เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนก่อนที่จะส่งผ่านไปยังล้อรถ และทำหน้าที่ลดแรงกระแทกเมื่อถนนขรุขระ ระบบรองรับน้ำหนักมีหลายแบบ แต่ละแบบทำหน้าที่รับน้ำหนักของอุปกรณ์ตลบอดจนน้ำหนักบรรทุก ซึ่งจะอยู่ด้านบนสปริง เรียกว่า น้ำหนักเหนือสปริง (Sprung Weight) เป็นน้ำหนักที่สปริงไม่ได้รองรับน้ำหนักส่วนนี้ ได้แก่ ล้อและยาง (Wheel and Tire) ห้ามล้อ และชุดเพลาท้าย (Rear Axle) เป็นต้น
หน้าที่ของระบบรองรับน้ำหนัก
ระบบรองรับน้ำหนักมีหน้าที่สำคัญ
ๆ ได้แก่
1. รองรับน้ำหนักเหนือสปริงและน้ำหนักบรรทุก โดยที่สปริงจะทำหน้าที่ลดการสั่นสะเทือนอันเนื่องมาจากความไม่ราบเรียบของพื้นผิวถนน (Road Shock)
2. ช่วยให้การบังคับรถมีประสิทธิภาพ การที่รถไม่สั่นสะเทือนก็จะทำให้สิ่งของที่บรรทุกไม่เสียหาย
3. ลดความเค้นที่เกิดขึ้นกับชิ้นส่วนรถยนต์อันเนื่องมาจากการกระแทกจากพื้นผิวถนน
4. รักษาสมดุลตัวถังรถให้วิ่งไปบนถนนในทุกสภาพ ไม่ว่ารถจะวิ่งบนถนนขรุขระมากน้อยเพียงใด
5. ลดอาการโคลง (Rolling) และการโยนตัวของตัวถัง (Pitching) ที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด
หลักการของระบบรองรับน้ำหนักรถยนต์มีดังนี้ คือ
1. ลดอาการโคลงและการโยนตัวของตัวถังรถ โดยการใช้และติดตั้งขนาดของสปริงอย่างเหมาะสม
2. ใช้เครื่องผ่อนการสะเทือนร่วมกับสปริง
3. ลดน้ำหนักใต้สปริง (Unsprung Weight) ให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้ส่งแรงกระแทก ไปยังตัวถังและคนที่นั่งในรถ
สาเหตุที่ตัวถังรถสั่นสะเทือน
การที่ตัวถังรถเกิดสั่นสะเทือนเป็นผลสืบเนื่องมากจากน้ำหนักบรรทุก สภาพของพื้นผิวถนนน้ำหนักที่ถูกรองรับและน้ำหนักที่ไม่ถูกรองรับ (Sprung Weight and Unsprung Weight) ตัวถังรถยนต์จะถูกรองรับด้วยสปริง น้ำหนักของตัวถังและส่วนประกอบอื่น
ๆ ที่ถูกรองรับด้วยสปริงนั้นเรียกว่า น้ำหนักเหนือสปริงหรือสปรังเวต (Sprung Weight) ส่วนที่ไม่ได้ถูกรองรับด้วยสปริง เช่น ล้อ เพลา และส่วนอื่น ๆ เรียกว่า น้ำหนักใต้สปริงหรืออันสปรังเวต (Unsprung Weight) โดยทั่วไปน้ำหนักเหนือสปริงจะมีมากกว่าน้ำหนักใต้สปริง ซึ่งจะทำให้เกิดความนิ่มนวลในการขับขี่และ มีเสถียรภาพที่ดีกว่า นอกจากนั้นยังช่วยลดแรงเหวี่ยงและแรงกระแทกของตัวถัง ในทางตรงกันข้าม ถ้าน้ำหนักใต้สปริงมีมากกว่า จะทำให้ตัวถังรถเกิดการโคลงและสั่นสะเทือน เป็นผลให้การขับขี่ ไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร อาการสั่นสะเทือนและการโคลงของตัวถังรถจำแนกออกได้ดังนี้
1. อาการสั่นสะเทือนที่เกิดจากน้ำหนักเหนือสปริง (Sprung Weight) จะทำให้เกิดอาการดังนี้
1.1 การโคลงตัว (Rolling) เป็นอาการที่เกิดจากการยืดและยุบตัวของสปริงทั้งสองด้านไม่เท่ากัน คือ ด้านหนึ่งยืดอีกด้านหนึ่งยุบ เช่น กรณีเลี้ยวรถ หรือถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ จึงทำให้เกิดอาการโครงตัวของตัวถังขึ้น
1.2 การเต้น (Bouncing) เป็นอาการเคลื่อนตัวขึ้นลงของตัวถังรถ การเต้นของตัวถังรถเกิดจากการที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูงบนถนนที่เป็นคลื่น นอกจากนั้นการเต้นอาจจะเกิดขึ้นกับรถที่ใช้สปริงอ่อนมากกว่ารถที่ใช้สปริงแข็ง
1.3 การส่าย (Yawing) เป็นอาการเคลื่อนคัวของตัวถังรถในลักษณะขึ้นลงไปทางด้านซ้ายและขวา มักจะเกิดขึ้นพร้อมกับการกระดอนของตัวถังรถ
1.4 การกระดอน (Upspring) เป็นอาการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในลักษณะขึ้นลงด้านหน้าและด้านหลังของตัวถังรถ อาการที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดขึ้นได้โดยง่ายกับรถที่ใช้สปริอ่อน และเมื่อรถวิ่งผ่านบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ
2.
อาการสั่นสะเทือนที่เกิดจากน้ำหนักใต้สปริง
(Sprung Weight) จะทำให้เกิดอาการดังนี้
2.1 การม้วนตัวของแหนบ (Wind Up)
เป็นอาการสั่นสะเทือนที่เกิดจากแหนบของระบบรองรับที่พยายามจะม้วนตัวเองไปรอบ ๆ
เพลา ในขณะขับเคลื่อน
2.2 การกระดอน
(Traming) เป็นอาการสั่นสะเทือนของล้อรถทั้งด้านซ้ายและด้านขวา อาการกระดอนของล้อมักจะเกิดขึ้นได้ง่ายกับรถยนต์ที่ใช้ระบบรองรับแบบคานแข็ง
2.3 การกระโดด
(Hopping)
เป็นอาการสั่นสะเทือนที่เกิดจากล้อรถเต้นขึ้นลง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อรถวิ่งบนถนนพื้นผิวถนนเป็นลูกคลื่นและขับขี่ผ่านด้วยความเร็วสูง
ชนิดของสปริง
1. แหนบ (Leaf Springs)
2. สปริงขด (Coil
Springs)
3. แหนบบิดหรือทอร์ชันบาร์ (Torsion Bar)
4. สปริงลม
(Air Spring)
5. ไฮโดรนิวแมติกสปริง (Hydro-Pneumatic Spring)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น